ปลาเทวดา (Angel fish) ชื่อสามัญเรียกชื่อปลาน้ำจืดในสกุล Pterophyllum ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างโดยรวมเป็นรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว ลำตัวแบนข้างมาก มีปากขนาดเล็ก ครีบหลังเป็นกระโดงสูงอยู่ค่อนไปทางด้านหาง ครีบหลังบานยาวออกมาจากลำตัว ครีบท้องมีอยู่หนึ่งคู่เรียวเล็กและปลายชี้แหลม พบในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำโอริโนโคในทวีปอเมริกาใต้และลุ่มแม่น้ำใกล้เคียง โดยนิยมอยู่เป็นฝูงในถิ่นที่มีพืชพรรณไม้น้ำขึ้นหนาแน่น และสภาพน้ำมีความเป็นกรดประมาณ 5-5.5

มีทั้งหมด 3 ชนิด คือ

Pterophyllum altum เป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีความสูงของลำตัวเมื่อโตได้เต็มที่ถึง 15 นิ้ว ขณะที่ความยาวจากหัวถึงหางเพียง 8 นิ้วเท่านั้น มีหน้าผากที่ลาดกว่าชนิดอื่น ๆ มีพื้นลำตัวสีเทาอมเขียวและมีประกายสีเงินเคลือบทับทั่วตัว และมีลายเส้นสีดำจนหรือสีน้ำตาลไหม้พาดลำตัวเป็นแนวตั้งกลมกลืนกับจุดบนลำตัวก็ได้ โดยเส้นที่ยาวสุดจะเป็นเส้นที่ 5 ซึ่งเป็นเส้นบริเวณโคนหาง

Pterophyllum scalare มีลักษณะภายนอกเหมือนชนิด P.altum ทุกประการ แต่มีขนาดลำตัวที่เล็กลงมากว่ามาก ซึ่งปลาในชนิดนี้จัดเป็นต้นตระกูลของปลาเทวดาทั้งหมดที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาตู้สวยงามเช่นทุกวันนี้ พบในแม่น้ำโอริโนโค

Pterophyllum leopoldi มีรูปร่างอ้วนสั้นเนื่องจากมีครีบบนและครีบล่างสั้นกว่าชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด และมีจุดใหญ่สีเข้มบนเส้นที่ 4 ที่คาดลำตัวโดยบางตัวก็จะอยู่บริเวณติดกับครีบบน และส่วนหน้าผากจะมีแนวลาดมากกว่า นอกจากนี้ปลาเทวดาสายพันธุ์นี้ยังมีจุดเด่นพิเศษอีกอย่างคือลายเส้นเล็กที่อยู่ระหว่างเส้นใหญ่คาดตา และเส้นใหญ่คาดอกนั้น จะเป็นเส้นเล็กจาง ๆ 2 เส้น ไม่ได้เป็นเส้นเดียวเหมือน 2 ชนิดข้างต้น และมีความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือมีเหลือบสีฟ้าเปล่งประกายทั่วทั้งตัว

ปลาเทวดาได้รับความนิยมในแง่ของการเป็นปลาตู้สวยงามมาช้านาน โดยผู้เลี้ยงนิยมเลี้ยงในตู้ไม้น้ำ ซึ่งปลาเทวดาเป็นปลาที่มีอุปนิสัยเรียบร้อย แต่ถ้าหากก้าวร้าวแล้วก็จะค่อนข้างยากที่จะเลี้ยงรวมกับปลาประเภทอื่น ๆ โดยมนุษย์นั้นได้พัฒนาสายพันธุ์ของปลาเทวดาชนิด P. scalare ให้มีสีสันแตกต่างจากเดิมไปมาก เช่น เทวดาหินอ่อน ที่มีสีสันเป็นสีดำสลับกับขาวทั้งตัว, เทวดาดำ ที่เป็นสีดำทั้งตัว, เทวดาแพล็ตตินั่ม ที่มีทั้งสีขาวสะอาดตา ดวงตาสีดำ และสีทองเหลือบเป็นประกายทั้งตัว ดวงตาสีแดง, เทวดามุก ที่เป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ดูสะอาดตาทั้งตัว เป็นต้น การขยายพันธุ์ของปลาเทวดา สามารถกระทำได้ในตู้เลี้ยง โดยวางไข่ติดกับวัตถุใต้น้ำที่มีลักษณะค่อนข้างมั่นคงแข็งแรง การวางไข่แต่ละครั้งประมาณ 300-1,000 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 36 ชั่วโมง ปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์และวางไข่ได้มีอายุตั้งแต่ 8-10 เดือนขึ้นไป

อนึ่ง นักมีนวิทยาบางคนได้จำแยกชนิดของปลาเทวดาให้มากกว่านี้ โดยมีชนิดถึง 5 ชนิด ได้แก่ P. dumerilii, P. eimekei ซึ่งเป็นอีก 2 ชนิดเพิ่มเติมขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าทั้ง 2 ชนิดนั้นได้กลายพันธุ์มาจากชนิดที่มีดั้งเดิมอยู่แล้วทั้ง 3

และสำหรับในชนิด P.altum นั้น ในปัจจุบันได้มีการนิยมเลี้ยงกันมากขึ้น โดยมีชื่อเรียกกันว่า “เทวดาป่า” หรือ “เทวดาอัลตั้ม” แต่เป็นชนิดที่เลี้ยงค่อนข้างยาก เนื่องจากปลามักปรับตัวให้กับสภาพน้ำไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และในชนิด P. scalare ที่เป็นต้นตระกูลของสายพันธุ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน หากเป็นปลาที่เป็นปลาสายพันธุ์ดั้งเดิม ก็จะนิยมเรียกว่า “อัลตั้มเปรู” หรือ “อัลตั้มโอริโนโค”

ในสมัยอดีต ในการทำเหมืองใต้ดิน จะมีการนำปลาเทวดาหย่อนลงไปทดสอบก่อนที่มนุษย์จะลงไป เนื่องจากอาจมีก๊าซพิษอยู่ภายในใต้ดิน เพราะปลาเทวดาเป็นปลาที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศง่ายมาก ซึ่งจากการช่วยไม่ให้มีมนุษย์ต้องตายนั้นจึงทำให้ได้ชื่อว่า “Angel fish” หรือ “ปลาเทวดา